Date 2025-11-11 14:43:00

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รถEV (รถยนต์ไฟฟ้า) ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในไทย และทั่วโลก ด้วยจุดเด่นเรื่องพลังงานสะอาด ประหยัดค่าเชื้อเพลิง และการขับขี่ที่เงียบกว่าเดิม แต่ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าหลายคนกลับพบปัญหาว่าทำไมรถ EV ถึงกินยางเร็วกว่ารถน้ำมัน

โครงสร้างรถ EV ต่างจากรถทั่วไป

รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle) มีโครงสร้าง และการจัดวางอุปกรณ์ที่แตกต่างจากรถน้ำมันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องน้ำหนัก และการกระจายน้ำหนัก

🛞 รถ EV ต้องติดตั้งแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ไว้ใต้พื้นรถ ซึ่งมีน้ำหนักมาก

🛞 ส่งผลให้รถ EV มีน้ำหนักรวมมากกว่ารถน้ำมันในขนาดใกล้เคียงกัน

🛞 ยางจึงต้องรับน้ำหนักมากขึ้น เกิดแรงกดบนพื้นสัมผัสสูงกว่าปกติ

รถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่นอาจหนักกว่ารถน้ำมัน ซึ่งน้ำหนักส่วนเกินนี้กระจายลงบนล้อโดยตรง ส่งผลให้ยางสึกเร็วกว่ารถทั่วไป โดยเฉพาะในรถที่วิ่งระยะทางไกลหรือขับบนถนนขรุขระเป็นประจำ

แรงบิดสูงจากมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้ดอกยางสึกไว

หนึ่งในข้อดีของรถ EV คือแรงบิดสูงที่ส่งออกจากมอเตอร์ไฟฟ้าได้ทันทีที่กดคันเร่ง ต่างจากเครื่องยนต์สันดาปที่ต้องมีการไต่รอบก่อน แรงบิดที่มาแบบฉับพลันนี้ ทำให้เกิดแรงฉุดสูงบริเวณล้อ โดยเฉพาะในรถขับเคลื่อนล้อหน้า ส่งผลให้ดอกยางหน้าสึกเร็วกว่าปกติ โดยเฉพาะผู้ที่ชอบเร่งออกตัวแรงหรือขับด้วยสไตล์สปอร์ต ดังนั้นแม้รถ EV จะให้การตอบสนองดี แต่แรงบิดสูงนี้ก็มีผลโดยตรงต่ออายุการใช้งานของยาง

 

ยางเฉพาะสำหรับรถ EV เน้นสมรรถนะมากกว่าความทนทาน

รถยนต์ไฟฟ้าหลายรุ่นติดตั้งยางเฉพาะสำหรับรถ EV มาจากโรงงาน ซึ่งมักถูกออกแบบให้ตอบโจทย์สมรรถนะเฉพาะทางมากกว่าความทนทาน เช่น

🛞 เน้นความเงียบ เพื่อให้เข้ากับลักษณะการขับขี่ที่ไม่มีเสียงเครื่องยนต์

🛞 เน้นแรงต้านทานการหมุนต่ำ (Low Rolling Resistance) เพื่อช่วยเพิ่มระยะทางต่อการชาร์จ

ยางประเภทนี้มักมีเนื้อยางที่นุ่ม และดอกยางที่ตื้นกว่า ทำให้สึกเร็วกว่ายางทั่วไป อีกทั้งผู้ใช้บางรายอาจไม่รู้ว่ายางติดรถไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้งานระยะยาว จึงขับไปเรื่อยจนดอกยางหมดเร็วกว่าที่คาดไว้

 

รถ EV เงียบ ทำให้ตรวจจับอาการผิดปกติของยางได้ช้ากว่า

 

รถ EV เงียบ ทำให้ตรวจจับอาการผิดปกติของยางได้ช้ากว่า

จุดเด่นของรถ EV คือความเงียบ แต่ในบางกรณีกลับกลายเป็นจุดอ่อนด้านความปลอดภัย เพราะเมื่อไม่มีเสียงเครื่องยนต์รบกวน เสียงจากยางที่รั่ว บวม หรือเสียรูปอาจไม่ได้ยิน ผู้ขับจึงมักไม่ทันสังเกตอาการผิดปกติ ทำให้ขับต่อจนยางเสียหายเกินซ่อมได้ ดังนั้นเจ้าของรถ EV ควรหมั่นตรวจเช็กสภาพยางด้วยตนเองเป็นประจำ และเข้ารับบริการตรวจยางที่ศูนย์บริการเมื่อพบความผิดปกติ

การกระจายน้ำหนัก และช่วงล่างของบางรุ่นยังไม่สมบูรณ์

รถยนต์ไฟฟ้าบางรุ่น โดยเฉพาะรุ่นเล็กหรือรุ่นที่พัฒนาจากโครงสร้างรถน้ำมันเดิม ยังใช้ระบบช่วงล่างที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับน้ำหนักแบตเตอรี่โดยเฉพาะ ส่งผลให้การกระจายน้ำหนักของรถไม่สมดุล น้ำหนักของแบตเตอรี่ที่มาก (ราว 300–700 กิโลกรัม) อาจทำให้ล้อบางตำแหน่งรับแรงกดมากกว่าปกติ จึงเกิดอาการยางสึกไม่เท่ากัน ทั้งหน้า–หลังหรือซ้าย–ขวา นอกจากนี้รถที่ใช้ช่วงล่างแบบเดิมจากรถน้ำมัน มักยังไม่รองรับแรงบิดสูงของมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้ยางรับแรงฉุดมากขึ้น และสึกเร็ว เพื่อป้องกันปัญหานี้ ควรตั้งศูนย์ล้อ และถ่วงล้อทุก 10,000 กิโลเมตร หรือเมื่อตรวจพบว่ายางสึกไม่สม่ำเสมอ รวมถึงควรหมุนสลับยางตามระยะ เพื่อให้ยางทุกเส้นสึกเท่ากัน และยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานขึ้น

 

พฤติกรรมการขับขี่มีผลโดยตรงต่ออายุยาง

แม้รถยนต์ไฟฟ้าจะถูกออกแบบให้มีระบบขับเคลื่อน และเทคโนโลยีที่ทันสมัยเพียงใด แต่หากผู้ขับขี่มีพฤติกรรมการใช้งานที่ไม่เหมาะสม ก็สามารถทำให้ยางสึกเร็วกว่าปกติได้อย่างมาก ซึ่งในบางกรณีอาจทำให้ยางหมดอายุการใช้งานเร็วกว่าที่ผู้ผลิตกำหนดถึง 20–30% ปัจจัยหลักที่ทำให้ยางรถยนต์ไฟฟ้า (ยางรถ EV) เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติ ได้แก่

การเร่งออกตัวแรง และเบรกกะทันหันบ่อยครั้ง

รถ EV มีแรงบิดสูงจากมอเตอร์ไฟฟ้า ส่งผลให้ผู้ขับสามารถเร่งได้ทันทีโดยไม่ต้องไต่รอบเครื่องยนต์ พฤติกรรมการกระแทกคันเร่ง หรือเบรกฉับพลันซ้ำ ๆ จะทำให้เกิดแรงเสียดทานสูงระหว่างหน้ายางกับพื้นถนน

    • ส่งผลให้ดอกยางสึกบริเวณตรงกลางหรือขอบด้านหน้าเร็วผิดปกติ
    • ทำให้ยางหน้าเสื่อมเร็วกว่ายางหลัง โดยเฉพาะในรถขับหน้า (Front-Wheel Drive) ซึ่งเป็นระบบที่พบในรถ EV หลายรุ่น

ไม่ตรวจเช็กลมยางตามกำหนด

ลมยางมีผลอย่างมากต่อการสึกของยาง

    • หากลมยางอ่อนเกินไป หน้ายางจะบิดตัวจนสึกบริเวณขอบด้านนอก และเกิดความร้อนสูง
    • หากลมยางแข็งเกินไป หน้ายางจะสัมผัสพื้นถนนเฉพาะตรงกลาง ทำให้ดอกยางสึกกลางเร็ว

รถ EV ที่มีน้ำหนักมากกว่ารถน้ำมัน จำเป็นต้องควบคุมแรงดันลมยางอย่างแม่นยำกว่าปกติ โดยควรตรวจทุก 2–4 สัปดาห์ และใช้ค่าตามที่ผู้ผลิตรถระบุในคู่มือหรือบนสติ๊กเกอร์ข้างประตู

ไม่ตั้งศูนย์หรือไม่ถ่วงล้อหลังเปลี่ยนยาง

การไม่ตั้งศูนย์ (Wheel Alignment) หรือไม่ถ่วงล้อ (Wheel Balancing) จะทำให้ยางหมุนไม่สม่ำเสมอ  และเกิดแรงสั่นสะเทือนในขณะขับ ส่งผลให้ยางสึกไม่เท่ากันระหว่างด้านในกับด้านนอกมีเสียงดัง หรือรถสั่นเมื่อใช้ความเร็วสูง

การบรรทุกของหนักเกินกำลังหรือขับบนถนนขรุขระ

การบรรทุกของเกินพิกัดหรือขับบนถนนที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อบ่อยครั้ง ทำให้ยางต้องรับแรงกระแทกมากกว่าปกติ ซึ่งอาจส่งผลให้โครงสร้างภายในยางเสียหาย (เช่น ผ้าใบยางหรือเข็มขัดรัดยางฉีกขาด)แก้มยางบวม หรือเกิดรอยแตก

ขับขี่ด้วยความเร็วสูงต่อเนื่อง

แม้รถ EV จะมีสมรรถนะการเร่งดี แต่การขับที่ความเร็วสูงต่อเนื่องจะเพิ่มอุณหภูมิของยางอย่างรวดเร็ว ความร้อนที่สะสมทำให้โครงสร้างยางเสื่อม และดอกยางสึกเร็วกว่าปกติ ยิ่งถ้าลมยางไม่ถูกต้อง ความร้อนจะยิ่งเพิ่มขึ้นจนเสี่ยงต่อการยางบวม หรือยางระเบิดได้

ละเลยการหมุนสลับยางตามระยะทาง

รถ EV ส่วนใหญ่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า ทำให้ยางคู่หน้ารับทั้งแรงบิด และแรงเบรกมากกว่าล้อหลัง หากไม่หมุนสลับยางตามระยะที่แนะนำ (ทุก 10,000 กิโลเมตร) ยางคู่หน้าจะสึกเร็วกว่าคู่หลังมาก  และอาจทำให้การทรงตัวของรถเสียสมดุล

 

วิธีเช็กสภาพยาง และเลือกยางที่ได้มาตรฐาน

เพื่อยืดอายุการใช้งานของยางรถยนต์ไฟฟ้า และเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ ควรปฏิบัติตามแนวทางดังนี้

  1. ตรวจดอกยางทุก 5,000 กิโลเมตร หรือทุก 3 เดือน

  2. ตั้งศูนย์ล้อ และถ่วงล้อทุกครั้งหลังเปลี่ยนยาง หรือเมื่อรู้สึกว่าพวงมาลัยเอียง

  3. เช็กลมยางเป็นประจำให้ตรงตามค่าที่ผู้ผลิตกำหนด

  4. หมุนสลับยางทุก 10,000 กิโลเมตร เพื่อให้สึกเท่ากัน

  5. เลือกยางที่มีมาตรฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV Compatible Tire) จากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ

หากไม่แน่ใจว่ายางที่ใช้อยู่เหมาะสมกับรถหรือไม่ ควรเข้ารับบริการตรวจเช็กกับศูนย์บริการมืออาชีพ เช่น SaveTyre ที่มีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำ และบริการดูแลยางสำหรับรถ EV 

ดังนั้น สาเหตุที่รถ EV กินยาง มาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างที่มีน้ำหนักมากกว่า แรงบิดสูงจากมอเตอร์ไฟฟ้า ยางที่เน้นสมรรถนะมากกว่าความทนทาน ระบบช่วงล่าง และพฤติกรรมการขับขี่ของผู้ใช้ หากเจ้าของรถรู้เท่าทัน และดูแลยางอย่างถูกวิธี เช่น ตรวจเช็กสม่ำเสมอ ตั้งศูนย์ และเช็กลมยางตามระยะ รวมถึงเลือกใช้ ยางรถยนต์ไฟฟ้าที่เหมาะสมกับรุ่นรถ ก็จะช่วยลดการสึกหรอ และยืดอายุการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ