เข้าหน้าฝนเมื่อไหร่ คนขับรถยนต์ทุกวันอย่างเราเป็นต้องหวั่นใจเพราะกลัวอุบัติเหตุที่มาพร้อมกับฤดูเหงาที่ฝนตกไม่หยุดไม่เว้นวันไปทุกที และเป็นที่รู้กันดีกว่าหนึ่งในอุบัติเหตุสำคัญที่สุดก็คือ ‘อาการรถเหินน้ำ’ ภัยร้ายหน้าฝนที่ผู้ใช้รถต่างกลัวมากที่สุด
เมื่อถึงช่วงที่เราเข้าหน้าฝนที่ยาวนานแบบนี้ SaveTyre มาเป็นเพื่อนช่วยเตือนให้ทุกคนขับรถกันอย่างระมัดระวัง เรามาทำความรู้จัก ‘อาการรถเหินน้ำ’ อย่างละเอียด เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุไปด้วยกัน
อาการ ‘รถเหินน้ำ’ คืออะไร
อุบัติเหตุที่ฝันร้ายที่สุดสำหรับรถยนต์ คืออุบัติเหตุในหน้าฝนนี่ล่ะ ด้วยความเปียก ความชื้น ทัศนวิสัยไม่ปกติของการขับขี่ และการที่น้ำท่วมขังถนนเป็นปริมาณมาก จะทำให้อาการที่เรียกว่า ‘รถเหินน้ำ’ หรือ HYDROPLANING เป็นสิ่งที่เกิดจากการที่ยางรถยนต์ไม่สามารถรีดน้ำออกได้มากพอ จนทำให้ยางสูญเสียความสามารถในการยึดเกาะกับถนน จนการควบคุมรถเป็นไปได้อย่างอยากลำบาก และส่งผลให้เกิดการลื่นไถลขึ้นได้ในที่สุด
รวม 4 สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้เกิดอาการรถเหินน้ำ
แต่ ! อุบัติเหตุจากรถเหินน้ำมีอะไรที่ซับซ้อนมากกว่าน้ำท่วมขังบนท้องถนน แล้วยางรถยนต์เข้าไปเหยียบจนลื่นเสียหลัก ในหัวข้อของบรรทัดนี้ จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุแสนน่ากลัวนี้ที่นอกจากสภาพอากาศแล้ว ยังเป็นเพราะพฤติกรรมการขับขี่ของเราเองด้วย
- การใช้ความเร็วในการขับขี่ : ความรู้เบื้องต้น ยางรถโดยปกติจะมีความสามารถในการรีดน้ำในอัตราความเร็วและเวลาอยู่ที่ 10-15 ลิตร/วินาที ขึ้นไป เพราะฉะนั้น เมื่อรถทำความเร็วสูงอยู่บนถนนที่มีน้ำขังเป็นปริมาณหนึ่ง ก็จะทำให้ตัวยางรีดน้ำไม่ทัน พูดกันง่าย ๆ ว่ายิ่งขับเร็วบนถนนที่เปียกก็ยิ่งรีดน้ำได้ยาก จนอาจเกิดอาการรถเหินน้ำได้ง่ายขึ้นมาก เพื่อความปลอดภัยควรขับขี่ไม่เกินความเร็ว 80 กม./ชม. ในพื้นถนนที่เปียก
- ดอกยางรถยนต์ : SaveTyre เราพูดถึงการหมั่นตรวจเช็คสภาพยางรถยนต์อยู่เสมอ คิดว่าผู้อ่านเดากันได้ไม่ยาก หากเรานำยางรถยนต์ที่กำลังจะหมดอายุเสื่อมสภาพไปวิ่งในวันที่ฝนตก การรีดน้ำที่ไร้ประสิทธิภาพก็จะทำให้รถของเราเกิดอาการเหินน้ำได้ และการเลือกดอกยางคุณภาพที่มีความลึกเพียงพอก็สำคัญมากไม่แพ้กัน อย่าปล่อยให้ยางสึกหรอจนถึงตำแหน่ง TWI หรือ สะพานยาง ซึ่งจะทำให้ยางไม่สามารถระบายน้ำออกได้ตามที่ผู้ผลิตออกแบบไว้
- พื้นผิวถนน : สภาพของพื้นผิวถนนเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอาการรถเหินน้ำ เมื่อไหร่ที่สภาพถนนเป็นคอนกรีต มีความเรียบเนียน และขรุขระน้อย อาการรถเหินน้ำก็จะเกิดได้มากยิ่งกว่าถนนที่มีส่วนผสมของยางมะตอยเคลือบซึ่งมีสภาพผิวที่ขรุขระน้อยกว่า และทำให้ยางเกาะถนนได้มากกว่านั่นเอง
- น้ำหนักของรถ : น้ำหนักรถในวันที่สภาพถนนไม่เป็นใจก็สำคัญเหมือนกัน เพราะถ้าหากว่าเราบรรทุกของหนักจนน้ำหนักรถมากขึ้นกว่าปกติ เมื่อไหร่ที่เกิดอาการรถเหินน้ำหรือสูญเสียการทรงตัวเกิดขึ้น การมีแรงเฉื่อยที่น้อยลง บังคับยากขึ้นมาก ๆ ก็จะทำให้เกิดความอันตรายที่มากขึ้นไปอีก
5 วิธีป้องกันอาการรถเหินน้ำ
ถึงแม้ว่าผู้ขับขี่จะหลีกเลี่ยงการไม่ใช้รถบนท้องถนนในหน้าฝนได้ยาก แต่เราสามารถป้องกันขณะขับขี่ไม่ให้เผชิญกับอาการรถเหินน้ำได้
- ชะลอความเร็วในการขับขี่ : เมื่อยางรถรีดน้ำไม่ทัน การชะลอความเร็วให้มากกว่าปกติเป็นสิ่งที่ควรทำก่อนเป็นอันดับแรก เพราะนอกจากจะให้ยางสามารถรีดน้ำได้ทันแล้ว ยังช่วยให้เราสามารถตัดสินใจได้ดีหากว่ามีอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากรถบนถนนคันอื่น
- เลี่ยงการขับรถไปในบริเวณที่มีน้ำขัง : ถ้าทำได้ ให้เลิกใช้เส้นทางคุ้นเคยที่อาจมีน้ำขังปริมาณมาก แต่เลือกขับไปบนเส้นทางที่พื้นถนนแห้งกว่าจะดีกว่าเสมอ
- หลีกเลี่ยงการเบรกกะทันหัน : แต่ถ้าหากว่าเราเกิดขับบนถนนที่สภาพไม่เป็นใจแล้วล่ะก็ ให้ตื่นตัวและมีการสังเกตการณ์พื้นถนนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะในจุดอับสายตาอย่างอุโมงค์ที่อาจจะมีแอ่งน้ำที่เรามองไม่เห็น และห้ามเบรกกะทันหันเพราะอาจทำให้รถเกิดการสะบัดได้
- ตรวจสอบสภาพยาง และลมยางอย่างสม่ำเสมอ : ลักษณะของผู้ขับขี่ที่ดีคือการสร้างพฤติกรรมเอารถเข้าศูนย์เพื่อหมั่นเช็คสภาพยางเสมอ พร้อมกับหมั่นเช็คด้วยตัวเองก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เมื่อมียางที่ดี ถึงสภาพถนนจะแย่ แต่ก็ทำให้เรามั่นใจได้มากกว่าว่าอุบัติเหตุจะไม่เกิดขึ้นกับเรา
- เพิ่มระยะห่างจากรถคันหน้า ลดอุบัติเหตุ : ไม่ใช่แค่การใช้รถในวันสภาพถนนปกติที่ต้องทิ้งระยะห่างที่เหมาะสม แต่วันที่ฝนตกขึ้นมาก็ยิ่งจะต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ให้มากขึ้นไปอีก
รับมืออย่างไร เมื่อรถเหินน้ำ
และในสถานการณ์เลวร้ายที่สุด (ที่ไม่มีใครอยากให้เกิด) จู่ ๆ รถของคุณก็เกิดอาการรถเหินน้ำขึ้นมา สิ่งแรกที่ต้องทำก่อนเลยคือ ‘บอกกับตัวเองว่าอย่าตื่นตระหนก’ สภาพจิตใจเป็นสิ่งที่สำคัญและจะบังคับการกระทำโดยตรงที่สุดเมื่อเกิดความอันตรายถึงตัว จากนั้นจับพวงมาลัยให้มั่นให้ตรงที่สุด ค่อย ๆ ลดความเร็วลงจนเราข้ามผ่านจุดที่เป็นแอ่งน้ำไปบนพื้นที่มีสภาพที่โอเคแล้วว่าเปียกน้อยกว่าที่ผ่านมาก่อน แล้วจึงแตะเบรกเบา ๆ เพื่อหาที่จอดในที่สุด ทั้งนี้สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดกับสถานการณ์นี้คือ ไม่ควรเหยียบเบรก ในขณะที่รถเกิดอาการเหินน้ำ เพราะจะทำให้รถเสียการทรงตัว และเกิดอุบัติเหตุได้ในที่สุด
ถึงแม้ว่าอาการรถเหินน้ำจะเป็นสิ่งที่ควบคุมได้ยาก เพราะว่าเป็นเรื่องของสภาพอากาศที่มามีผลกระทบต่อการขับขี่และเกิดอันตรายของเรา แต่เราเองก็สามารถตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ป้องกันอุบัติเหตุได้ง่าย ๆ โดยการหมั่นตรวจเช็คสภาพยางรถยนต์ เพิ่มความมั่นใจทุกการขับขี่ ที่ SaveTyre ทั้งเช็คลมธรรมดาและไนโตรเจน ทำการปะยาง รวมถึงตรวจสอบสภาพยางรถที่คุณใช้อยู่ว่ามันจะสามารถพาคุณไปถึงจุดหมายได้จริง เพราะเราอยากเห็นทุกการเดินทางปลอดภัยเต็มไปด้วยรอยยิ้มตลอดการเดินทาง