เชื่อว่าตลอดชีวิตการเดินทางด้วยรถยนต์ ทุกคนต้องเคยได้ยินคำว่า ‘ยางแตกลายงา’ กันใช่มั้ยครับ แต่ SaveTyre เชื่อว่าสิ่งที่คุณอาจจะยังไม่เข้าใจ คือสิ่งนี้ส่งผลร้ายแรงต่อการขับขี่ที่ปลอดภัยขนาดไหน เพราะฉะนั้น บทความนี้เราจะพูดถึงเรื่องยางแตกลายงากันอย่างละเอียด เพื่อให้ทุกคนกลับมาใส่ใจรถของตัวเองให้มากขึ้นกันอีกครั้ง
ยางแตกลายงา คืออะไร ?
คำว่า ‘ยางแตกลายงา’ เป็นสิ่งที่ใช้เรียกแบบสากลของยางทุกประเภทไม่ว่าจะรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ รถบรรทุก ในอาการของยางที่เกิดรอยร้าวหรือรอยแตกขนาดเล็ก ๆ ที่บริเวณหน้ายางและแก้มยาง เป็นสัญญาณเตือนที่บอกกับผู้ขับว่ายางของคุณกำลังจะหมดอายุขัยแล้ว
สาเหตุของ ยางแตกลายงา เกิดจากอะไรได้บ้าง
ยางแตกลายงาไม่ได้เกิดขึ้นแค่จากอายุการใช้งานเท่านั้น แต่ยังมีหลายปัจจัยที่ส่งผลโดยตรง ทั้งจากพฤติกรรมการขับขี่ การดูแลรักษา หรือแม้แต่สภาพแวดล้อม มาดูสาเหตุของยางแตกลายงากัน
- ความร้อนและแสงแดด : คนใช้รถอาจจะมีข้อสงสัยที่ว่าทำไมยางถึงแตกลายงาได้ คำตอบของปัญหานี้มี ‘พระอาทิตย์’ เป็นสมการสำคัญ เพราะว่ายางที่แตกลายงาเกิดจากการที่ยางโดนความร้อนและแสงแดดแผดเผาเป็นเวลานาน ซึ่งรวมถึงการวิ่งบนพื้นถนนที่มีความร้อนสูงจนทำให้สารเคมีในยางเสื่อมสภาพ แห้งและแข็งขึ้นมานั่นเอง (ใครที่จอดรถตากแดดเอาไว้สม่ำเสมอควรระวังเรื่องนี้ให้ดีครับ)
- การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ : เมื่อไหร่ที่อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง ยางรถเป็นสิ่งที่รับผลกระทบก่อนเสมอ ไม่ว่าจะอุณหภูมิสูงหรือต่ำอาจทำให้ยางเกิดอาการหดตัว และเมื่อสารเคมีในยางเริ่มเสื่อมสภาพตามเวลาพร้อมกับการเกิดของปฏิกิริยาออกซิเดชันอากาศก็ทำให้เนื้อยางแตกร้าวได้
- คุณภาพของยาง : ข้อนี้สำคัญเป็นอันดับต้นเลย เพราะการที่เราใช้ยางด้อยคุณภาพยิ่งทำให้เกิดการสึกหรอและเสื่อมได้เร็วก่อนเวลากำหนด และเมื่อไหร่ที่แตกลายงาขึ้นมาก็จะอันตรายกว่ายางคุณภาพดีที่แตกลายงาหลายเท่า
- อายุของยาง : ยางที่ผ่านการใช้งานมาอย่างยาวนาน ถึงแม้ว่าดอกยางจะเหลือก็ทำให้มีโอกาสเกิดการแตกลายงาได้จากการที่เนื้อยางเริ่มเสื่อมสภาพ อย่าลืมที่จะใช้ยางที่อายุไม่เกิน 4 ปี (นับจากวันที่เริ่มติดตั้งยาง) หรือใช้มาไม่เกินกว่า 50,000 กิโลเมตร
- สารเคมี : การขับขี่อย่างระมัดระวังก็สำคัญ เพื่อไม่ให้ตัวยางรถไปสัมผัสสารเคมีที่ทำให้เกิดการแตกลายงา เช่น น้ำมันเบรก น้ำมันเครื่อง ไปจนถึงสารทำความสะอาดบางประเภท ที่จะเข้าไปทำปฏิกิริยาให้ยางเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหรือเคลือบเงายางบางตัวที่มีสารเคมีแรง ๆ ก็ต้องระวังให้ดีด้วยเหมือนกัน
- การใช้งานที่หนักเกินไป : การบรรทุกของขึ้นรถเกินขีดความสามารถของยางส่งผลเสียเสมอ และเมื่อน้ำหนักปริมาณมากกดทับการรับน้ำหนักของยาง ก็ส่งผลให้เกิดการแตกลายงาและเสื่อมสภาพในที่สุด
- การเติมลมยางมากหรือน้อยเกินไป : การเติมลมยางแบบไม่รู้แทนที่จะช่วยให้รถวิ่งดีขึ้น แต่กลับทำให้ยางรถเสื่อมสภาพลงอย่างรวดเร็วและทำให้เกิดการแตกลายงาได้ด้วย ลมยางที่น้อยเกินไปจะทำให้ยางบิดตัวมากเกินไปเวลาใช้งานและทำให้สะสมความร้อนสูง, ส่วนลมยางที่มากเกินไปจะทำให้ยางแข็งและรับแรงกระแทกไม่ดี จนทำให้โครงสร้างยางเสียหาย
ยางแตกลายงา อันตรายมากน้อยแค่ไหน
แม้รอยแตกลายงาบนหน้ายางจะดูเหมือนไม่ร้ายแรง แต่รู้หรือไม่ว่าอาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาที่ใหญ่กว่า ซึ่งส่งผลต่อการยึดเกาะถนนและความปลอดภัยในการขับขี่โดยตรง มาดูกันว่าอาการนี้อันตรายแค่ไหน และควรรับมืออย่างไร
- การบังคับหรือควบคุมรถที่ลดลง : อย่างแรกสุดเลย ยางที่แตกลายงาจะทำให้การตอบสนองของรถช้าลง ซึ่งทำให้เราควบคุมรถได้ยากขึ้นมาก (จังหวะเข้าโค้งกับเบรกยิ่งอันตรายหนัก) ที่แย่กว่านั้นคือ รอยแตกลายงาพวกนี้จะค่อย ๆ ลุกลามทำให้โครงสร้างของยางอ่อนแอจนนำมาซึ่งการไม่เกาะถนน
- การยึดเกาะถนนที่ลดลง : สิ่งที่ตามมาอีกอย่างเมื่อเราใช้ยางแตกลายงาวิ่งบนท้องถนน มีค่าเท่ากับการที่เราวิ่งอยู่บนยางซึ่งเสื่อมสภาพอย่างรุนแรง ทันทีที่สัมผัสระหว่างยางกับถนนลดลง ทำให้การยึดเกาะถนนลดลงไปมาก ๆ จนทำให้เราสูญเสียการควบคุมและเกิดอุบัติเหตุตามมาได้ง่าย
- ความเสี่ยงต่อการระเบิด : สิ่งที่เลวร้ายที่สุดเมื่อยางแตกลายงาคือ ‘ระเบิด’ อันเกิดจากความลึกของรอยแตกที่มีขนาดใหญ่ จนทำให้ยางสูญเสียความแข็งแรงในการรับน้ำหนักและความดันลม เกิดบวม แตก และระเบิดในที่สุด เมื่อเราทำความเร็วหรือทำให้รถบรรทุกของหนักจนเกินไป
ยางแตกลายงาควรเปลี่ยนทันทีหรือไม่ ?
คำถามสำคัญที่สุดก็คือ “เมื่อยางแตกลายงาเราควรเปลี่ยนทันทีหรือเปล่า?” คำตอบก็คือก่อนที่จะเปลี่ยนยางขอให้พิจารณาปัจจัย 3 ข้อนี้ก่อน
- ความลึกของรอยแตก-ถ้ามันแตกลึกซะจนเห็นโครงสร้างภายในก็แนะนำว่าควรเปลี่ยนทันที
- อายุของยาง-ควรใช้ยางที่อายุไม่เกิน 4 ปี (นับจากวันที่เริ่มติดตั้งยาง) หรือใช้มาไม่เกินกว่า 50,000 กิโลเมตร
- พิจารณาประกอบกับความลึกของดอกยาง-ข้อสุดท้ายที่อยากให้สังเกตคือ ถ้ายางสึกหรอจนถึงตำแหน่ง TWI หรือ สะพานยางก็ควรจะเปลี่ยนโดยทันที แต่ถ้าแค่รอยแตกขนาดเล็กที่เกิดขึ้นเฉพาะบริเวณผิวด้านนอก ก็ถือว่ายังพอใช้งานได้
รวมวิธีป้องกันยางแตกลายงา
ยางแตกลายงาเป็นปัญหาที่หลายคนเจอ ส่งผลต่อความปลอดภัย รวมถึงอายุการใช้งานของยาง การดูแลและป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงสำคัญมาก มาดูวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยปกป้องยางจากการแตกลายงากัน
- หมั่นตรวจตรวจสอบสภาพยางอย่างสม่ำเสมอ : เป็นอีกครั้งที่เราจะพูดถึงพฤติกรรมการขับขี่ที่ดี ที่จำเป็นจะต้องมีกิจวัตรประจำในการ ‘เช็คสภาพยางรถยนต์’ อย่างสม่ำเสมอ นอกจากมองด้วยตาเปล่าพร้อมเอามือสัมผัสแล้ว ก็ต้องหมั่นเอาเข้าศูนย์ตรวจอย่าง SaveTyre เพื่อเช็คความดันลม อายุการใช้งานของยาง รวมถึงประเมินคุณภาพพร้อมแก้ไขรอยแตกเล็ก ๆ หรือรอยร้าว ๆ ที่ยังพอปะได้ และถ้ายางเสื่อมสภาพแล้วจริง ๆ ก็จะได้เปลี่ยนใหม่ได้ทันทีเลย
- เติมลมยางให้มีความเหมาะสม : เติมลมยางตามสเปกเลขที่แก้มยางกำหนดเอาไว้ และหมั่นเช็คลมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้งอยู่เสมอ ไม่ว่าจะรถของคุณจะเติมลมยางปกติหรือไนโตรเจนเหลวก็ตาม
- หลีกเลี่ยงการจอดรถกลางแดดเป็นเวลานาน : สาเหตุสำคัญที่สุดของยางแตกลายงาที่เราบอกกันไปตั้งแต่ต้น เมื่อไหร่ที่รถของคุณจอดตากแดดแล้วยางรับความร้อนเป็นเวลานาน สารเคมีในยางที่เสื่อมสภาพ ก็จะทำให้ยางเกิดรอยแตกและหมดอายุขัยทันที ควรจอดรถในที่ร่มเสมอ
- หลีกเลี่ยงการบรรทุกน้ำหนักเกิน : โครงสร้างยางจะเสียหายได้เมื่อเราบรรทุกของหนักเกินจำเป็น ให้หลีกเลี่ยงการบรรทุกที่เกินความสามารถของรถ และถ้าขนสัมภาระเยอะกว่าปกติ ก็จัดของให้ดีเพื่อน้ำหนักกระจายไปทั้ง 4 ล้อ
ปัญหาการแตกลายงาของยางส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของยางเสื่อมสภาพตามกาลเวลาจริง แต่อีกส่วนหนึ่งสำคัญอยู่ที่พฤติกรรมการขับขี่และความใส่ใจในการรักษารถของเรา ทั้งไม่จอดตากแดด ไม่บรรทุกของหนักเกินจำเป็น และหมั่นตรวจสภาพยางอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ทุกการขับขี่ปลอดภัย SaveTyre อยากให้ทุกคนที่อ่านบทความนี้ ได้ดูแลใส่ใจรถของตัวเองมากขึ้นไปด้วยกัน