การดูแลรักษารถยนต์ไม่ใช่แค่การตรวจเช็กเครื่องยนต์ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หรือล้างทำความสะอาดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการดูแลยางรถยนต์อย่างถูกวิธี ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญแต่หลายคนมักมองข้าม การเลือกใช้ยางให้เหมาะสมกับฤดูกาลหรือสภาพอากาศที่ใช้งานจริง จะส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการขับขี่ และความปลอดภัยบนท้องถนน
คำถามที่หลายคนสงสัยคือ “การเปลี่ยนยางให้เหมาะกับฤดูกาล จะช่วยยืดอายุการใช้งานของรถยนต์ได้จริงหรือไม่” คำตอบคือ “ใช่” เพราะการใช้ยางที่เหมาะสมกับสภาพถนน และอากาศ จะช่วยลดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับระบบช่วงล่าง และชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงช่วยยืดอายุการใช้งานของยางเองได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังส่งผลดีต่อความปลอดภัย ลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ และช่วยให้การขับขี่นุ่มนวลขึ้น โดยเฉพาะในประเทศที่มีสภาพอากาศแปรปรวนหรือฤดูสุดขั้ว เช่น ฝนตกหนักในฤดูฝน หรืออากาศร้อนจัดในฤดูร้อน การเลือกยางที่เหมาะสมจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า และช่วยรักษารถยนต์ให้ใช้งานได้นานยิ่งขึ้น
รู้จักประเภทยางรถยนต์ตามฤดูกาล
เพื่อให้เข้าใจว่าทำไมการเลือกยางให้ตรงกับฤดูกาลจึงมีความสำคัญ ควรทำความรู้จักกับประเภทยางรถยนต์ที่ถูกออกแบบมาเฉพาะสำหรับสภาพอากาศต่าง ๆ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อสมรรถนะ และความปลอดภัยในการขับขี่
ยางฤดูร้อน (Summer Tire)
ยางฤดูร้อนได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อให้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในสภาพอากาศร้อน และถนนแห้งหรือเปียกเล็กน้อย เหมาะกับพื้นที่ที่มีอุณหภูมิสูงเป็นส่วนใหญ่ เช่น ภูมิภาคเขตร้อนหรือเขตอบอุ่นในช่วงฤดูร้อน
คุณสมบัติเด่น
- ใช้สูตรเนื้อยางที่แข็งกว่าเล็กน้อยในสภาวะอุณหภูมิสูง ช่วยเพิ่มความทนทาน และความมั่นคงในการขับขี่
- ลายดอกยางถูกออกแบบให้รีดน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดโอกาสการลื่นไถลบนถนนเปียก
- มีความสามารถในการเกาะถนนสูง
ข้อจำกัด
- เมื่ออุณหภูมิลดต่ำกว่าประมาณ 7 องศาเซลเซียส เนื้อยางจะเริ่มแข็งตัว สูญเสียความยืดหยุ่น ส่งผลให้ประสิทธิภาพการยึดเกาะลดลง
- ใช้งานในสภาพอากาศหนาวจัดหรือบนถนนที่มีน้ำแข็งได้ไม่ดี เสี่ยงต่อการลื่นไถล และเกิดอุบัติเหตุ
ยางฤดูหนาว (Winter Tire)
ยางฤดูหนาวได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับสภาพอากาศเย็นจัด รวมถึงถนนที่มีหิมะหรือน้ำแข็งจับ
คุณสมบัติเด่น
- ผลิตจากวัสดุที่นุ่ม ยืดหยุ่นสูง แม้ในอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ช่วยป้องกันการแข็งตัวของเนื้อยาง
- มีลายดอกยางลึก มีร่องเล็ก ๆ หรือซิป (Sipe) จำนวนมาก ช่วยเพิ่มการยึดเกาะบนหิมะ และน้ำแข็ง รวมถึงรีดน้ำออกจากพื้นผิวถนนได้ดี
- เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 7 องศาเซลเซียสอย่างต่อเนื่อง หรือมีหิมะตก และน้ำแข็งบนถนน
ข้อจำกัด
- หากนำมาใช้ในสภาพอากาศร้อนหรือช่วงฤดูร้อน เนื้อยางจะสึกเร็ว และเสียประสิทธิภาพ
- เนื่องจากมีแรงเสียดทานสูงกว่า ยางฤดูหนาวอาจทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่ายางประเภทอื่น
ยางทุกฤดูกาล (All-Season Tire)
ยางทุกฤดูกาลเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยม เพราะออกแบบมาให้ใช้งานได้ครอบคลุมในหลายสภาพอากาศ โดยเน้นความสมดุลระหว่างสมรรถนะ และความทนทาน
คุณสมบัติเด่น
- เหมาะสำหรับการใช้งานทั้งบนถนนแห้ง และเปียก รวมถึงในอุณหภูมิปานกลางที่ไม่หนาวจัดหรือร้อนจัดเกินไป
- โครงสร้างยางยืดหยุ่น ทนทาน เหมาะกับสภาพอากาศในเขตอบอุ่นหรือภูมิภาคที่มีการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลไม่รุนแรงมาก
- ให้ความนุ่มนวล ความเงียบในขณะขับขี่
ข้อจำกัด
- ไม่เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีหิมะตกหนักหรือมีน้ำแข็งจับถนนเป็นเวลานาน เนื่องจากการยึดเกาะบนพื้นผิวน้ำแข็งไม่ดีเท่ายางฤดูหนาว
- อาจไม่ให้สมรรถนะสูงสุดในสภาพอากาศที่ร้อนจัดหรือหนาวจัดมาก ๆ
สภาพอากาศมีผลต่อยาง และระบบรถอย่างไร
การเลือกใช้ยางที่ไม่เหมาะสมกับฤดูกาลหรือสภาพอากาศที่ใช้งานจริง ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อทั้งยาง รถยนต์ และความปลอดภัยในการขับขี่
- ทำให้ยางสึกหรอเร็วและลดประสิทธิภาพการใช้งาน : การใช้ยางที่ไม่เหมาะสมกับสภาพอากาศ เช่น ยางฤดูหนาวที่ออกแบบมาให้เนื้อนุ่ม ยืดหยุ่นในอุณหภูมิต่ำ แต่ถูกนำมาใช้งานในอุณหภูมิร้อนจัด จะทำให้เนื้อยางเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ยางจะนิ่มเกินไปจนเกิดการสึกหรอผิดปกติ ส่งผลให้ต้องเปลี่ยนยางบ่อยขึ้น อีกทั้งยังลดประสิทธิภาพของยางในการเบรก และการควบคุมรถ เพิ่มความเสี่ยงต่อการระเบิดหรือเกิดอุบัติเหตุจากการเสียการยึดเกาะถนน
- เกาะถนนไม่ดี ส่งผลให้ระบบเบรกและระบบควบคุมรถทำงานหนักขึ้น : เมื่อยางไม่เหมาะกับสภาพถนน เช่น ใช้ยางฤดูร้อนบนถนนเปียกลื่น และมีน้ำแข็ง การยึดเกาะจะลดลงอย่างมาก ทำให้ระบบเบรกต้องใช้แรงเยอะขึ้นเพื่อหยุดรถ ส่งผลให้ระยะเบรกเพิ่มขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ นอกจากนี้ยังเพิ่มภาระให้กับระบบเบรก และระบบควบคุมรถ ทำให้อุปกรณ์เหล่านี้สึกหรอเร็วกว่าปกติ
- แรงสะเทือนมากขึ้น ส่งผลเสียต่อระบบช่วงล่าง : ยางที่แข็งเกินไปหรือมีดอกยางไม่เหมาะสมกับพื้นผิวถนน จะส่งแรงสะเทือนที่สูงขึ้นเข้าสู่ระบบช่วงล่างของรถ เช่น ลูกหมาก ปีกนก และโช้กอัพ การสะสมแรงสะเทือนเหล่านี้ในระยะยาวจะทำให้ชิ้นส่วนช่วงล่างสึกหรอ และเสียหายเร็วขึ้น ส่งผลให้ต้องซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่บ่อยครั้ง และเพิ่มค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถ
- เพิ่มการใช้พลังงานและสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงหรือแบตเตอรี่ : ยางที่มีแรงต้านการหมุนสูง หรือไม่เหมาะกับอุณหภูมิที่ใช้งาน เช่น ยางที่แข็งตัวในสภาพหนาวจัด หรือยางนิ่มเกินไปในสภาพร้อนจัด จะทำให้เครื่องยนต์หรือระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการเคลื่อนที่ ส่งผลให้รถใช้น้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้นในรถยนต์เครื่องยนต์สันดาป หรือทำให้แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าหมดเร็วขึ้นในรถ EV ทั้งนี้ยังเป็นการเพิ่มภาระให้กับระบบเครื่องยนต์ และอาจลดประสิทธิภาพโดยรวมของรถ
ในประเทศไทย ต้องเปลี่ยนยางตามฤดูกาลไหม
ประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนชื้น มีสภาพอากาศที่ค่อนข้างคงที่ตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในพื้นที่ราบทั่วไป อุณหภูมิส่วนใหญ่มักอยู่ระหว่าง 25–35°C แม้ในฤดูหนาวก็แทบไม่ต่ำกว่า 15°C ยกเว้นบางพื้นที่บนภูเขาสูง เช่น ดอยอินทนนท์ หรือภูเรือ ที่อาจมีอุณหภูมิลดลงต่ำกว่าจุดเยือกแข็งในบางวัน
ด้วยสภาพภูมิอากาศแบบนี้ จึง “ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนยางตามฤดูกาล” เหมือนในประเทศเขตหนาว เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี หรือประเทศในยุโรปที่มีหิมะตก อุณหภูมิติดลบในฤดูหนาว อย่างไรก็ตามการเลือกใช้ยางที่เหมาะกับสภาพอากาศโดยรวมของไทยยังคงมีความสำคัญมาก
แนวทางการเลือกยางที่เหมาะกับอากาศเมืองไทย
- ยางฤดูร้อน (Summer Tire) : เป็นยางที่เหมาะสมที่สุดกับประเทศไทย เนื่องจากถูกออกแบบมาให้ใช้งานในสภาพอากาศร้อน และถนนแห้งหรือเปียกเล็กน้อย ซึ่งตรงกับลักษณะถนนส่วนใหญ่ในไทย สามารถใช้ได้ตลอดทั้งปีในทุกภูมิภาค ทั้งในเมือง และต่างจังหวัด ให้การเกาะถนนดี และควบคุมรถได้แม่นยำ
- ยางทุกฤดูกาล (All-Season Tire) : เป็นทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับผู้ที่ขับขี่ในสภาพการใช้งานทั่วไป ไม่ต้องการเปลี่ยนยางตามฤดูกาล ยางชนิดนี้เหมาะสำหรับการขับขี่ในสภาพถนนเปียกชื้นช่วงฤดูฝน และยังคงความนุ่มเงียบในช่วงฤดูร้อน เหมาะสำหรับการใช้งานในเมือง และผู้ใช้รถที่ต้องการความสมดุลระหว่างความทนทาน และความปลอดภัย
- ยางฤดูหนาว (Winter Tire) : ไม่แนะนำให้ใช้งานในประเทศไทย เนื่องจากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย ยางประเภทนี้ออกแบบมาเพื่ออุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง หากนำมาใช้ในไทยจะทำให้ยางสึกเร็วกว่าปกติ และอาจเกิดปัญหาในการควบคุมรถเมื่อต้องเจอกับอุณหภูมิสูงอย่างต่อเนื่อง
แนะนำยางคุณภาพจาก SaveTyre พร้อมโปรโมชัน
SaveTyre จัดโปรโมชันพิเศษสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนยางใหม่ในราคาที่คุ้มค่า เริ่มต้นเพียง 4,990 บาทต่อชุด (4 เส้น) โดยมีให้เลือกจากหลากหลายแบรนด์ที่ตอบโจทย์การใช้งานจริงในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็น Blackhawk, Goodride, หรือ Nazz ครอบคลุมทั้งรถยนต์นั่ง รถกระบะ และรถ SUV
นอกจากได้ยางที่ผ่านการคัดเลือกตามมาตรฐานความปลอดภัย และความทนทาน ยังได้รับบริการตรวจเช็ก และดูแลเบื้องต้นจากทีมช่าง เพื่อให้มั่นใจในสมรรถนะของรถหลังเปลี่ยนยางทุกครั้ง เหมาะสำหรับผู้ที่มองหาความคุ้มค่า และต้องการเปลี่ยนยางแบบครบจบในที่เดียว
การเลือกใช้ยางรถยนต์ให้เหมาะสมกับฤดูกาลหรือสภาพอากาศที่ใช้งานจริง มีผลโดยตรงต่อความปลอดภัย สมรรถนะการขับขี่ และอายุการใช้งานของรถยนต์ ทั้งในส่วนของยาง ระบบช่วงล่าง และระบบเบรก แม้ประเทศไทยจะไม่มีฤดูหนาวแบบในต่างประเทศ แต่การเลือกใช้ยางที่เหมาะกับสภาพอากาศร้อนชื้น เช่น ยางฤดูร้อนหรือยางทุกฤดูกาล ก็ช่วยลดการสึกหรอผิดปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการเกาะถนน และประหยัดพลังงานได้จริง ในระยะยาวถือเป็นการดูแลรถที่คุ้มค่า และช่วยยืดอายุการใช้งานของรถ