เคยมั้ย เห็นรหัสบนแก้มยางที่มาพร้อมตัวอักษรภาษาอังกฤษแล้วงงไปหมดว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร เชื่อว่ามีหลายคนที่ยังไม่เข้าใจความหมายของรหัสบน ‘แก้มยาง (Sidewall Marking)’ SaveTyre จึงเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพื่อให้เป็นคู่มือดูยางให้เป็น 101 ให้ทุกการเลือกยางของทุกคนต่อจากนี้ เป็นยางดีที่สุดกับรถของตัวเอง
รหัสบนแก้มยางคืออะไร ?
ถ้าพูดกันง่าย ๆ อย่างสากล รหัสบนแก้มยาง หรือ Sidewall Marking คือเครื่องหมายสรรพคุณที่มีขึ้นเพื่อใช้บอกความสามารถที่ยางรถยนต์ชนิดนั้น ๆ มี เพื่อที่ให้ผู้ใช้รถยนต์รู้ว่ายางประเภทนั้นเหมาะกับตัวเองหรือไม่ โดยที่ขีดเส้นใต้ตัวหนา ๆ เลยว่า ‘อย่างละเอียด’ จะเป็นรหัสที่จะอยู่ในส่วนบริเวณของแก้มยางรถยนต์เสมอ โดยจะแสดงค่าดังต่อไปนี้
- ความกว้างของหน้ายาง : เลขรหัส 3 ตัวแรกจะบอกความกว้างโดยที่จะเป็นการวัดหน้ายางจากซ้ายไปจนถึงขวา (มิลลิเมตร)
- ความสูงของแก้มยาง / ซีรี่ย์ยาง : เลขรหัส 2 ตัวถัดมา คือตัวที่จะบอกอัตราระหว่างความสูงกับความกว้างของยาง (เปอร์เซ็นต์ %)
- โครงสร้างของยางรถยนต์ : ตัวอักษรภาษาอังกฤษในตำแหน่งถัดมา คือสัญลักษณที่จะบอกประเภทโครงสร้างภายในของยางรถยนต์ ที่มักจะพบเจอบ่อย ๆ ก็คือตัว R หรือ ยางเรเดียล (Radial) กับ D ยางผ้าใบ (Diagonal / Bias Ply)
- เส้นผ่านศูนย์กลางกระทะล้อ : ความสำคัญของตัวเลขที่อยู่ต่อจากตัวอักษรภาษาอังกฤษ คือเป็นตัวเลขที่บอกเส้นผ่านศูนย์กลางกระทะล้อ (นิ้ว) เป็นการบอกว่ายางชนิดนั้น ๆ ประกอบกระทะล้อที่ขนาดเท่าไรได้บ้าง
- ดัชนีการรับน้ำหนัก : ตัวเลขนี้จะบอกว่ายางที่เราใช้สามารถรองรับน้ำหนักได้เท่าไร (กิโลกรัม) เมื่อเติมลมยางจนเต็ม โดยจะเป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีรับน้ำหนักของยางแต่ละเส้น
- ดัชนีระบุความเร็วของยาง : เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษที่บอกความเร็วสูงสุดที่ยางชนิดนี้สามารถรองรับได้ในการขับขี่ที่จะปลอดภัย ถ้าเป็นตัว W หมายถึงยางนี้สามารถใช้อัตราความเร็วได้สูงสุด 270 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตัว S = 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตัว R = 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- DOT ยาง (วัน / เดือน / ปี ผลิตยาง) ตัวเลขสุดท้ายที่สำคัญมาก ๆ ต่อคนเลือกยางคือตัวเลข 4 ตัวที่บอกวัน/เดือน/ปีผลิตยาง โดยจะแบ่งวิธีการอ่านตามนี้ (1) ตัวเลข 2 กลุ่มแรก = สัปดาห์ที่ผลิต และ (2) ตัวเลข 2 กลุ่มหลัง = ปีที่ผลิต
ประเภทของโครงสร้างยาง (Radial vs Bias)
สิ่งที่คนรักรถน่าจะอยากรู้กันต่อหลังจากที่อ่านในหัวข้อก่อนมาแล้วก็คือ แล้วโครงสร้างภายในที่นิยมใช้กัน 2 ประเภทหลักอย่าง R (Radial) กับ B (Bias-ply) ใช้ยางแบบไหนถึงจะดีกว่ากัน
ยางเรเดียล (Radial) คือประเภทของยางที่ใช้วัสดุเส้นลวดเหล็กกล้าทำโครงยาง โดยการที่ออกแบบให้เป็นแนวเส้นคอร์ด (Cord) ซึ่งจะวางเป็นเส้นตรงจากขอบยางด้านหนึ่งไปสู่อีกด้านหนึ่ง โดยที่จะทำมุม 90 องศากับเส้นรอบวงยาง จากนั้นจึงมีเข็มขัดหน้ายางคาดเอาไว้ในแนวนอน เพื่อเสริมความแกร่งของหน้ายาง คุณลักษณะพิเศษของยางชนิดนี้ คือทนทานและสร้างความร้อนสะสมภายในของยางน้อย ทั้งยังให้การควบคุมในการขับขี่ที่ดีอีกด้วย
ยางผ้าใบ (Diagonal / Bias Ply) : ยางชนิดนี้จะประกอบโครงยางด้วยวัสดุผ้าใบเสริมหน้ายางประกอบด้วยเส้นใยไนล่อน ดีไซน์ให้จัดวางอยู่แนวทแยง จากขอบยางอีกด้านสู่อีกด้าน ทำมุม 40-65 องศา ซึ่งในแต่ละชั้นจะวางสลับกัน คุณสมบัติพิเศษของยางชนิดนี้คือให้ความนุ่มนวลเป็นพิเศษในการขับขี่
แต่มีเเหตุผลอยู่หลายข้อที่ทำให้ผู้ใช้รถยนต์ในปัจจุบันส่วนใหญ่นิยมที่จะติดตั้ง ยางเรเดียล (Radial) ให้กับรถยนต์ของตัวเองมากกว่า เพราะว่าคุณสมบัติหลักอย่างการทรงตัวขณะขับด้วยความเร็วสูง ประสิทธิภาพในการหยุดรถ ความต้านทานการสึก ไปจนถึงการประหยัดน้ำมัน ยางเรเดียลก็ทำได้ดีกว่ายางผ้าใบ
ความหมายของ Load Index และ Speed Index
นอกจากโครงสร้างของยางแล้ว อีกสิ่งสำคัญที่ผู้เลือกใช้ยางรถยนต์จำเป็นต้องรู้ข้อมูลอย่างละเอียดก็คือเรื่องของ ดัชนีการรับน้ำหนัก (Load Index) กับ ดัชนีความเร็ว (Speed Index) เพราะว่าทั้งสองสิ่งนี้จะส่งผลต่ออายุขัยของยางโดยตรง รวมถึงความปลอดภัยด้วย
ดัชนีการรับน้ำหนัก (Load Index) : สิ่งนี้คือค่าที่บอกว่ายางที่เติมลมจนเต็มต่อเส้นจะสามารถรับน้ำหนักได้เท่าไหร่ ที่ใช้หน่วยวัดเป็นกิโลกรัม ซึ่งนอกจากจะสามารถตรวจสอบได้จากตัวเลขที่แก้มยางของรถแล้ว ตรงสติกเกอร์บนประตูฝั่งคนขับก็มีแจ้งเรื่องนี้เอาไว้ด้วยเหมือนกัน
ดัชนีรับน้ำหนัก | รับน้ำหนักสูงสุดต่อล้อ (กิโลกรัม) |
ดัชนีรับน้ำหนัก | รับน้ำหนักสูงสุดต่อล้อ (กิโลกรัม) |
ดัชนีรับน้ำหนัก | รับน้ำหนักสูงสุดต่อล้อ (กิโลกรัม) |
69 | 325 | 83 | 487 | 97 | 730 |
70 | 335 | 84 | 500 | 98 | 750 |
71 | 345 | 85 | 515 | 99 | 775 |
72 | 355 | 86 | 530 | 100 | 800 |
73 | 365 | 87 | 545 | 101 | 825 |
74 | 375 | 88 | 560 | 102 | 850 |
75 | 387 | 89 | 580 | 103 | 875 |
76 | 400 | 90 | 600 | 104 | 900 |
77 | 412 | 91 | 615 | 105 | 925 |
78 | 425 | 92 | 630 | 106 | 950 |
79 | 437 | 93 | 650 | 107 | 975 |
80 | 450 | 94 | 670 | 108 | 1,000 |
81 | 462 | 95 | 690 | 109 | 1,030 |
82 | 475 | 96 | 710 | 110 | 1,060 |
ดัชนีความเร็ว (Speed Index) : ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่บอกความเร็วสูงสุด (กิโลเมตร/ชั่วโมง) ที่ยางนั้นจะสามารถรับได้อย่างปลอดภัยในแต่ละเส้น โดยจะประกอบไปด้วยตัวอักษรที่แสดงค่าความเร็วสูงสุดที่ยางรับได้ ดังนี้
N = 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง
P = 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Q = 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง
R = 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง
S = 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง
T = 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง
U = 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง
H = 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง
V = 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Z = มากกว่า 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง
W = 270 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Y = 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง
(Y) = มากกว่า 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง
รหัส DOT และสัปดาห์ผลิต (Manufacturing Date)
หัวข้อนี้เราจะว่าด้วยความสำคัญของ DOT Code เลข 2 ชุด 4 ตัวสุดท้ายบนแก้มยาง ที่บอกถึงวัน/เดือน/ปี ที่ผลิตของยางรถยนต์ ยกตัวอย่างวิธีการอ่านค่าของ DOT Code จากชุดตัวเลข 0425 หมายความว่ายางเส้นนี้ถูกผลิตในสัปดาห์ที่ 4 ในปี 2025
การเก็บรักษายางรถยนต์อย่างถูกวิธีมีผลอย่างมากต่อคุณภาพ และความปลอดภัยของยาง แม้จะไม่ใช่ยางที่ผลิตปีล่าสุด แต่หากได้รับการเก็บรักษาอย่างเหมาะสม เช่น เก็บในที่แห้ง ไม่โดนแสงแดด ไม่มีความชื้น หรือแรงกดทับ และไม่วางซ้อนจนเกิดการเสียดสี ก็สามารถรักษาสภาพให้ใกล้เคียงกับยางใหม่ได้ การตรวจสอบวิธีจัดเก็บของศูนย์บริการก่อนตัดสินใจซื้อจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่ายางที่นำมาใช้งานยังคงคุณภาพดี และปลอดภัย แม้จะไม่ได้ผลิตในปีปัจจุบันก็ตาม
รวมสัญลักษณ์อื่น ๆ ที่สามารถพบได้บนแก้มยาง
- Treadwear, Traction, Temperature : นอกจากค่าบนแก้มยางที่พูดไปทั้งหมดของบทความ ยังมีค่ามาตรฐานแสดงประสิทธิภาพ ที่ทางอเมริกาได้จัดตั้งระบบ UTQG (Uniform Tyre Quality Grade Labelling) เพื่อแบ่งเกรดยาง ซึ่งจะทำให้มีค่าเหล่านี้เป็นตัวระบุความสามารถของยางอย่างละเอียดเข้ามาเพิ่ม ‘Treadwear’ ตัวเลขที่บ่งบอกถึงอัตราการสึกหรอของยาง ตัวเลขที่มากก็จะยิ่งทนทาน แต่ตัวเลขที่น้อยลงก็ยิ่งสึกหรอง่าย ซึ่งค่ามาตรฐานของรถยนต์ทั่วไปจะอยู่ที่ 200-300 / ‘Traction’ ความสามารถของยางในการหยุดรถบนถนนที่มีสภาพเปียกลื่น วัดจากระดับต่ำสุดไปสูงสุด AA-A-B-C / ‘Temperature’ ตรงตัวก็คือความสามารถในการกระจายอุณหภูมิที่ร้อนของยาง วัดจากระดับต่ำสุดไปสูงสุด A-C
- M+S (Mud and Snow) : เครื่องหมายทางการค้าสำหรับยางที่ใช้ขับบนโคลน และหิมะโดยเฉพาะ มาพร้อมกับดอกยางที่เล็กสำหรับลุยหิมะ
- Outside/Inside : สัญลักษณ์ที่มีขึ้นสำหรับ ‘ยางไม่สมมาตร (Asymmetrical Tire)’ ที่ในส่วนของหน้ายางถูกประกอบขึ้นจากลายที่ไม่เหมือนกัน ก็คือลายดอกยางด้านนอก (Outside) ลายดอกยางด้านใน (Inside) เพื่อให้ช่างสามารถติดตั้งล้อแม็กซ์กับยางเข้าด้วยกันได้ถูกตำแหน่ง
- Rotation, Directional : สัญลักษณ์สำหรับบอกประเภทของ ‘ยางทิศทางเดียว (Directional Tire)’ ที่จะมีลูกศรบอกทิศทางของการหมุนอยู่ที่แก้มยางทั้งสองด้าน ทำให้ยางชนิดนี้เวลาที่เราต้องการจะสลับตำแหน่งยางจะสามารถทำได้ในทิศทางเดียวเท่านั้น ก็คือด้านหน้ากับด้านหลังที่อยู่ในทิศทางเดียวกัน
เรื่องของยางเป็นแหล่งความรู้ที่มีอะไรต้องเข้าใจมากมาย ในบางครั้งการจมข้อมูลอยู่เดียวก็อาจจะเป็นไปได้ยาก ในการที่จะตอบปัญหาว่ายางแบบไหนที่เหมาะสมกับรถยนต์ของตัวเอง เพราะฉะนั้น SaveTyre ศูนย์บริการกว่า 200 สาขาทั่วประเทศ พร้อมซัพพอร์ตผู้ใช้รถบนท้องถนนทุกคัน ศูนย์ของเราเต็มไปด้วยช่างที่ได้รับการเทรนด์มาเป็นอย่างดี พร้อมรับประกัน ไม่ว่าปัญหาเรื่องยางของคุณจะเป็นอะไร เราสามารถดูแลได้อย่างปลอดภัย