Date 2025-07-23 14:01:52

เคยมั้ย เห็นรหัสบนแก้มยางที่มาพร้อมตัวอักษรภาษาอังกฤษแล้วงงไปหมดว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร เชื่อว่ามีหลายคนที่ยังไม่เข้าใจความหมายของรหัสบน ‘แก้มยาง (Sidewall Marking)’ SaveTyre จึงเขียนบทความนี้ขึ้นมา เพื่อให้เป็นคู่มือดูยางให้เป็น 101 ให้ทุกการเลือกยางของทุกคนต่อจากนี้ เป็นยางดีที่สุดกับรถของตัวเอง 

รหัสบนแก้มยางคืออะไร ?

ถ้าพูดกันง่าย ๆ อย่างสากล รหัสบนแก้มยาง หรือ Sidewall Marking คือเครื่องหมายสรรพคุณที่มีขึ้นเพื่อใช้บอกความสามารถที่ยางรถยนต์ชนิดนั้น ๆ มี เพื่อที่ให้ผู้ใช้รถยนต์รู้ว่ายางประเภทนั้นเหมาะกับตัวเองหรือไม่ โดยที่ขีดเส้นใต้ตัวหนา ๆ เลยว่า ‘อย่างละเอียด’ จะเป็นรหัสที่จะอยู่ในส่วนบริเวณของแก้มยางรถยนต์เสมอ โดยจะแสดงค่าดังต่อไปนี้  

  • ความกว้างของหน้ายาง : เลขรหัส 3 ตัวแรกจะบอกความกว้างโดยที่จะเป็นการวัดหน้ายางจากซ้ายไปจนถึงขวา (มิลลิเมตร)
  • ความสูงของแก้มยาง / ซีรี่ย์ยาง : เลขรหัส 2 ตัวถัดมา คือตัวที่จะบอกอัตราระหว่างความสูงกับความกว้างของยาง (เปอร์เซ็นต์ %)  
  • โครงสร้างของยางรถยนต์ : ตัวอักษรภาษาอังกฤษในตำแหน่งถัดมา คือสัญลักษณที่จะบอกประเภทโครงสร้างภายในของยางรถยนต์ ที่มักจะพบเจอบ่อย ๆ ก็คือตัว R หรือ ยางเรเดียล (Radial) กับ D ยางผ้าใบ (Diagonal / Bias Ply)
  • เส้นผ่านศูนย์กลางกระทะล้อ : ความสำคัญของตัวเลขที่อยู่ต่อจากตัวอักษรภาษาอังกฤษ คือเป็นตัวเลขที่บอกเส้นผ่านศูนย์กลางกระทะล้อ (นิ้ว) เป็นการบอกว่ายางชนิดนั้น ๆ ประกอบกระทะล้อที่ขนาดเท่าไรได้บ้าง
  • ดัชนีการรับน้ำหนัก : ตัวเลขนี้จะบอกว่ายางที่เราใช้สามารถรองรับน้ำหนักได้เท่าไร (กิโลกรัม) เมื่อเติมลมยางจนเต็ม โดยจะเป็นการแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีรับน้ำหนักของยางแต่ละเส้น
  • ดัชนีระบุความเร็วของยาง : เป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษที่บอกความเร็วสูงสุดที่ยางชนิดนี้สามารถรองรับได้ในการขับขี่ที่จะปลอดภัย ถ้าเป็นตัว W หมายถึงยางนี้สามารถใช้อัตราความเร็วได้สูงสุด 270 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตัว S = 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตัว R = 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง  
  • DOT ยาง (วัน / เดือน / ปี ผลิตยาง) ตัวเลขสุดท้ายที่สำคัญมาก ๆ ต่อคนเลือกยางคือตัวเลข 4 ตัวที่บอกวัน/เดือน/ปีผลิตยาง โดยจะแบ่งวิธีการอ่านตามนี้ (1) ตัวเลข 2 กลุ่มแรก = สัปดาห์ที่ผลิต และ (2) ตัวเลข 2 กลุ่มหลัง = ปีที่ผลิต

ประเภทของโครงสร้างยาง (Radial vs Bias)

ประเภทของโครงสร้างยาง (Radial vs Bias)

สิ่งที่คนรักรถน่าจะอยากรู้กันต่อหลังจากที่อ่านในหัวข้อก่อนมาแล้วก็คือ แล้วโครงสร้างภายในที่นิยมใช้กัน 2 ประเภทหลักอย่าง R (Radial) กับ B (Bias-ply) ใช้ยางแบบไหนถึงจะดีกว่ากัน 

ยางเรเดียล (Radial) คือประเภทของยางที่ใช้วัสดุเส้นลวดเหล็กกล้าทำโครงยาง โดยการที่ออกแบบให้เป็นแนวเส้นคอร์ด (Cord) ซึ่งจะวางเป็นเส้นตรงจากขอบยางด้านหนึ่งไปสู่อีกด้านหนึ่ง โดยที่จะทำมุม 90 องศากับเส้นรอบวงยาง จากนั้นจึงมีเข็มขัดหน้ายางคาดเอาไว้ในแนวนอน เพื่อเสริมความแกร่งของหน้ายาง คุณลักษณะพิเศษของยางชนิดนี้ คือทนทานและสร้างความร้อนสะสมภายในของยางน้อย ทั้งยังให้การควบคุมในการขับขี่ที่ดีอีกด้วย

ยางผ้าใบ (Diagonal / Bias Ply) : ยางชนิดนี้จะประกอบโครงยางด้วยวัสดุผ้าใบเสริมหน้ายางประกอบด้วยเส้นใยไนล่อน ดีไซน์ให้จัดวางอยู่แนวทแยง จากขอบยางอีกด้านสู่อีกด้าน ทำมุม 40-65 องศา ซึ่งในแต่ละชั้นจะวางสลับกัน คุณสมบัติพิเศษของยางชนิดนี้คือให้ความนุ่มนวลเป็นพิเศษในการขับขี่ 

แต่มีเเหตุผลอยู่หลายข้อที่ทำให้ผู้ใช้รถยนต์ในปัจจุบันส่วนใหญ่นิยมที่จะติดตั้ง ยางเรเดียล (Radial) ให้กับรถยนต์ของตัวเองมากกว่า เพราะว่าคุณสมบัติหลักอย่างการทรงตัวขณะขับด้วยความเร็วสูง ประสิทธิภาพในการหยุดรถ ความต้านทานการสึก ไปจนถึงการประหยัดน้ำมัน ยางเรเดียลก็ทำได้ดีกว่ายางผ้าใบ

ความหมายของ Load Index และ Speed Index

นอกจากโครงสร้างของยางแล้ว อีกสิ่งสำคัญที่ผู้เลือกใช้ยางรถยนต์จำเป็นต้องรู้ข้อมูลอย่างละเอียดก็คือเรื่องของ ดัชนีการรับน้ำหนัก (Load Index) กับ ดัชนีความเร็ว (Speed Index) เพราะว่าทั้งสองสิ่งนี้จะส่งผลต่ออายุขัยของยางโดยตรง รวมถึงความปลอดภัยด้วย

ดัชนีการรับน้ำหนัก (Load Index) : สิ่งนี้คือค่าที่บอกว่ายางที่เติมลมจนเต็มต่อเส้นจะสามารถรับน้ำหนักได้เท่าไหร่ ที่ใช้หน่วยวัดเป็นกิโลกรัม ซึ่งนอกจากจะสามารถตรวจสอบได้จากตัวเลขที่แก้มยางของรถแล้ว ตรงสติกเกอร์บนประตูฝั่งคนขับก็มีแจ้งเรื่องนี้เอาไว้ด้วยเหมือนกัน 

ดัชนีรับน้ำหนัก รับน้ำหนักสูงสุดต่อล้อ 
(กิโลกรัม)
ดัชนีรับน้ำหนัก รับน้ำหนักสูงสุดต่อล้อ 
(กิโลกรัม)
ดัชนีรับน้ำหนัก รับน้ำหนักสูงสุดต่อล้อ 
(กิโลกรัม)
69 325 83 487 97 730
70 335 84 500 98 750
71 345 85 515 99 775
72 355 86 530 100 800
73 365 87 545 101 825
74 375 88 560 102 850
75 387 89 580 103 875
76 400 90 600 104 900
77 412 91 615 105 925
78 425 92 630 106 950
79 437 93 650 107 975
80 450 94 670 108 1,000
81 462 95 690 109 1,030
82 475 96 710 110 1,060

ดัชนีความเร็ว (Speed Index) : ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่บอกความเร็วสูงสุด (กิโลเมตร/ชั่วโมง) ที่ยางนั้นจะสามารถรับได้อย่างปลอดภัยในแต่ละเส้น โดยจะประกอบไปด้วยตัวอักษรที่แสดงค่าความเร็วสูงสุดที่ยางรับได้ ดังนี้

N = 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง
P = 150 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Q = 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง
R = 170 กิโลเมตร/ชั่วโมง
S = 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง
T = 190 กิโลเมตร/ชั่วโมง
U = 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง
H = 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง
V = 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Z = มากกว่า 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง
W = 270 กิโลเมตร/ชั่วโมง
Y = 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง
(Y) = มากกว่า 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง

รหัส DOT และสัปดาห์ผลิต (Manufacturing Date)

รหัส DOT และสัปดาห์ผลิต (Manufacturing Date)

หัวข้อนี้เราจะว่าด้วยความสำคัญของ DOT Code เลข 2 ชุด 4 ตัวสุดท้ายบนแก้มยาง ที่บอกถึงวัน/เดือน/ปี ที่ผลิตของยางรถยนต์ ยกตัวอย่างวิธีการอ่านค่าของ DOT Code จากชุดตัวเลข 0425 หมายความว่ายางเส้นนี้ถูกผลิตในสัปดาห์ที่ 4 ในปี 2025 

การเก็บรักษายางรถยนต์อย่างถูกวิธีมีผลอย่างมากต่อคุณภาพ และความปลอดภัยของยาง แม้จะไม่ใช่ยางที่ผลิตปีล่าสุด แต่หากได้รับการเก็บรักษาอย่างเหมาะสม เช่น เก็บในที่แห้ง ไม่โดนแสงแดด ไม่มีความชื้น หรือแรงกดทับ และไม่วางซ้อนจนเกิดการเสียดสี ก็สามารถรักษาสภาพให้ใกล้เคียงกับยางใหม่ได้ การตรวจสอบวิธีจัดเก็บของศูนย์บริการก่อนตัดสินใจซื้อจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่ายางที่นำมาใช้งานยังคงคุณภาพดี และปลอดภัย แม้จะไม่ได้ผลิตในปีปัจจุบันก็ตาม

รวมสัญลักษณ์อื่น ๆ ที่สามารถพบได้บนแก้มยาง

รวมสัญลักษณ์อื่น ๆ ที่สามารถพบได้บนแก้มยาง

  1. Treadwear, Traction, Temperature : นอกจากค่าบนแก้มยางที่พูดไปทั้งหมดของบทความ ยังมีค่ามาตรฐานแสดงประสิทธิภาพ ที่ทางอเมริกาได้จัดตั้งระบบ UTQG (Uniform Tyre Quality Grade Labelling) เพื่อแบ่งเกรดยาง ซึ่งจะทำให้มีค่าเหล่านี้เป็นตัวระบุความสามารถของยางอย่างละเอียดเข้ามาเพิ่ม ‘Treadwear’ ตัวเลขที่บ่งบอกถึงอัตราการสึกหรอของยาง ตัวเลขที่มากก็จะยิ่งทนทาน แต่ตัวเลขที่น้อยลงก็ยิ่งสึกหรอง่าย ซึ่งค่ามาตรฐานของรถยนต์ทั่วไปจะอยู่ที่ 200-300 / ‘Traction’ ความสามารถของยางในการหยุดรถบนถนนที่มีสภาพเปียกลื่น วัดจากระดับต่ำสุดไปสูงสุด AA-A-B-C / ‘Temperature’ ตรงตัวก็คือความสามารถในการกระจายอุณหภูมิที่ร้อนของยาง วัดจากระดับต่ำสุดไปสูงสุด A-C
  2. M+S (Mud and Snow) : เครื่องหมายทางการค้าสำหรับยางที่ใช้ขับบนโคลน และหิมะโดยเฉพาะ มาพร้อมกับดอกยางที่เล็กสำหรับลุยหิมะ
  3. Outside/Inside : สัญลักษณ์ที่มีขึ้นสำหรับ ‘ยางไม่สมมาตร (Asymmetrical Tire)’ ที่ในส่วนของหน้ายางถูกประกอบขึ้นจากลายที่ไม่เหมือนกัน ก็คือลายดอกยางด้านนอก (Outside) ลายดอกยางด้านใน (Inside) เพื่อให้ช่างสามารถติดตั้งล้อแม็กซ์กับยางเข้าด้วยกันได้ถูกตำแหน่ง
  4. Rotation, Directional : สัญลักษณ์สำหรับบอกประเภทของ ‘ยางทิศทางเดียว (Directional Tire)’ ที่จะมีลูกศรบอกทิศทางของการหมุนอยู่ที่แก้มยางทั้งสองด้าน ทำให้ยางชนิดนี้เวลาที่เราต้องการจะสลับตำแหน่งยางจะสามารถทำได้ในทิศทางเดียวเท่านั้น ก็คือด้านหน้ากับด้านหลังที่อยู่ในทิศทางเดียวกัน

เรื่องของยางเป็นแหล่งความรู้ที่มีอะไรต้องเข้าใจมากมาย ในบางครั้งการจมข้อมูลอยู่เดียวก็อาจจะเป็นไปได้ยาก ในการที่จะตอบปัญหาว่ายางแบบไหนที่เหมาะสมกับรถยนต์ของตัวเอง เพราะฉะนั้น SaveTyre ศูนย์บริการกว่า 200 สาขาทั่วประเทศ พร้อมซัพพอร์ตผู้ใช้รถบนท้องถนนทุกคัน ศูนย์ของเราเต็มไปด้วยช่างที่ได้รับการเทรนด์มาเป็นอย่างดี พร้อมรับประกัน ไม่ว่าปัญหาเรื่องยางของคุณจะเป็นอะไร เราสามารถดูแลได้อย่างปลอดภัย