Date 2025-09-12 13:45:50

ในการเดินทางไกลหรือการท่องเที่ยวโดยรถยนต์ส่วนตัว ยางรถยนต์มีบทบาทมากกว่าที่หลายคนคิด นอกจากจะช่วยในเรื่องของความปลอดภัย การยึดเกาะถนน และความนุ่มนวลแล้ว ยางยังเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่ออัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันของรถยนต์อย่างมีนัยสำคัญ หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่ายางที่เหมาะสมสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านน้ำมันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเลือกยางที่ออกแบบมาเพื่อลดแรงต้านทานการหมุน (Rolling Resistance) และดูแลรักษาอย่างเหมาะสม

ยางรถยนต์มีผลต่อการสิ้นเปลืองน้ำมันอย่างไร

เมื่อเครื่องยนต์ทำงานเพื่อขับเคลื่อนรถยนต์ ยางจะเป็นส่วนที่สัมผัสกับพื้นถนนโดยตรง และหนึ่งในแรงที่รถต้องเอาชนะแบบต่อเนื่องตลอดเวลาคือ แรงต้านการหมุน (Rolling Resistance)

Rolling Resistance คืออะไร

แรงต้านการหมุน (Rolling Resistance) หมายถึง แรงที่ต้านทานการเคลื่อนที่ของยางรถยนต์ขณะหมุนหรือกลิ้งไปบนพื้นผิวถนน โดยแรงนี้เกิดขึ้นจากการเสียรูป (deformation) ของเนื้อยาง และโครงสร้างของยางในบริเวณที่สัมผัสกับพื้นผิว เมื่อยางกลิ้งผ่านจุดสัมผัสดังกล่าว โครงสร้างยางจะเกิดการยุบตัว และต้องใช้พลังงานในการคืนตัวสู่สภาพเดิม พลังงานที่สูญเสียไปในกระบวนการนี้ส่วนใหญ่จะถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ทำให้เกิดแรงต้านที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการเคลื่อนที่ของรถยนต์โดยตรง
อีกทั้งยังมีแรงเสียดทานภายในระหว่างชั้นของวัสดุยาง รวมถึงแรงเสียดทานระหว่างหน้ายางกับพื้นถนน ซึ่งล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่เพิ่มค่าความต้านทานนี้ นอกจากนี้ แรงต้านการหมุนยังมีความสัมพันธ์กับปัจจัยทางกายภาพหลายประการ เช่น แรงดันลมยาง น้ำหนักบรรทุก ลักษณะของพื้นผิวถนน ความเร็วของการขับเคลื่อน รวมถึงอุณหภูมิของยางในระหว่างการใช้งาน

ความสำคัญของแรงต้านการหมุนต่อการใช้พลังงาน 

ข้อมูลงานวิจัยจาก Elsevier ผู้ให้บริการข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ระบุว่า แรงต้านการหมุนของยางมีส่วนทำให้รถยนต์ใช้พลังงานมากขึ้น โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15-20% ของการใช้พลังงานรวมทั้งหมดในรถยนต์หนึ่งคัน กล่าวคือ ในทุก ๆ หน่วยพลังงานที่ใช้ในการขับเคลื่อน จะมีมากถึงเกือบหนึ่งในสามที่ถูกใช้ไปเพื่อเอาชนะแรงต้านนี้เพียงอย่างเดียว

ดังนั้นการลดแรงต้านการหมุนจึงเป็นแนวทางที่มีศักยภาพสูงในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง หากสามารถลดแรงต้านการหมุนได้แม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถนำไปสู่การประหยัดเชื้อเพลิง และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะยาวได้

แนวทางในการลดแรงต้านการหมุน

การออกแบบ และเลือกใช้ยางที่มีค่าความต้านทานการหมุนต่ำ (Low Rolling Resistance Tires) ถือเป็นหนึ่งในมาตรการที่สำคัญ โดยยางประเภทนี้ถูกพัฒนาให้มีโครงสร้าง และวัสดุที่ลดการเสียรูปในระหว่างการหมุน อีกทั้งยังมีการควบคุมคุณสมบัติของยางให้เหมาะสมกับลักษณะการใช้งาน เช่น ความแข็ง ความยืดหยุ่น และความสามารถในการระบายความร้อน

นอกจากนี้ การบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ เช่น การตรวจสอบแรงดันลมยางให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม การปรับตั้งศูนย์ล้อ และการหลีกเลี่ยงการบรรทุกน้ำหนักเกิน ยังเป็นปัจจัยเสริมที่ช่วยลดแรงต้านการหมุน

คุณสมบัติของยางที่ช่วยประหยัดน้ำมัน

ยางรถยนต์ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน หรือEco Tire มีบทบาทสำคัญในการลดการใช้เชื้อเพลิง และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยยางประหยัดน้ำมันนั้น ได้รับการพัฒนาอย่างเฉพาะเจาะจงในด้านวัสดุ โครงสร้าง และลักษณะของลายดอกยาง เพื่อให้มีแรงต้านการหมุนต่ำ และมีคุณสมบัติเชิงกลที่เหมาะสมต่อการใช้งานจริง 

  1. ยางที่มีค่า Rolling Resistance ต่ำ (Low Rolling Resistance Tire) : ยางที่มีแรงต้านการหมุนต่ำ เป็นส่วนหนึ่งของการช่วยประหยัดน้ำมัน โดยยางประเภทนี้ได้รับการออกแบบมาให้ลดการเสียรูปของยางในขณะที่กลิ้ง ซึ่งจะช่วยลดพลังงานที่สูญเสียไปในรูปของความร้อน วัสดุ และโครงสร้างภายในได้รับการปรับแต่งเพื่อลดแรงต้าน แต่ยังคงไว้ซึ่งสมรรถนะในการยึดเกาะถนน โดยเฉพาะในสภาพถนนเปียก ตัวอย่างหนึ่งของเทคโนโลยีในยางประเภทนี้คือ การใช้สารซิลิกา (Silica) แทนการใช้ผงคาร์บอน (Carbon Black) ในเนื้อยาง ซึ่งนอกจากจะช่วยลดแรงต้านการหมุนได้แล้ว ยังมีคุณสมบัติช่วยในการยึดเกาะ และลดการสึกหรอของยางด้วย
  2. น้ำหนักของยางที่เบาลง : ยางที่มีน้ำหนักเบา จะช่วยลดมวลหมุน (rotational mass) ของล้อ ทำให้รถใช้แรงจากเครื่องยนต์น้อยลงในการขับเคลื่อน ส่งผลให้ประหยัดเชื้อเพลิงมากขึ้นโดยตรง ยางเบาไม่ได้หมายถึงลดวัสดุหรือความทนทาน แต่เป็นผลจากการเลือกใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบาแต่มีความแข็งแรงสูง รวมถึงการออกแบบโครงสร้างยางที่มีประสิทธิภาพ
  3. ลวดลายดอกยางที่ออกแบบมาเพื่อลดแรงเสียดทาน : ลายดอกยาง (Tread Pattern) มีผลต่อแรงเสียดทานระหว่างยางกับพื้นถนน ยางที่ช่วยประหยัดน้ำมันมักมีลวดลายที่ออกแบบให้มีแรงต้านต่ำ เช่น ร่องลึก และแนวไหลของลายที่ช่วยระบายน้ำได้ดี แต่ยังคงความราบเรียบเพื่อลดความฝืดจากการสัมผัสพื้นถนนโดยไม่ลดทอนความปลอดภัย ดอกยางที่มีความเรียบ และนุ่มนวลจะช่วยลดการเสียดทานในแนวตรง ส่งผลให้การเคลื่อนที่ของยางเป็นไปอย่างลื่นไหล ลดภาระของเครื่องยนต์  และช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
  4. วัสดุผสมพิเศษในเนื้อยาง (Advanced Compound Technology) : การพัฒนาเนื้อยางด้วยวัสดุผสมสูตรพิเศษ เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลดแรงต้านการหมุน โดยเฉพาะการใช้สารประกอบประเภทซิลิกา (Silica Compound) แทนคาร์บอนแบล็ก (Carbon Black) ซึ่งช่วยลดความร้อนสะสม ลดการสูญเสียพลังงานในรูปของแรงต้าน ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มความทนทาน และยืดอายุการใช้งานของยาง วัสดุเหล่านี้ยังช่วยให้ยางมีคุณสมบัติในการปรับตัวต่ออุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง ช่วยให้ประสิทธิภาพของยางคงที่แม้ในสภาพอากาศต่าง ๆ
  5. การควบคุมแรงดันลมยางให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม : แม้จะใช้ยางที่มีสมรรถนะสูง และออกแบบมาเพื่อประหยัดพลังงาน แต่หากแรงดันลมยางไม่อยู่ในระดับที่เหมาะสม ประสิทธิภาพที่แท้จริงของยางจะไม่สามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลมยางที่ต่ำเกินไป จะทำให้หน้ายางยุบตัวเพิ่มพื้นที่สัมผัส ส่งผลให้แรงต้านการหมุนเพิ่มขึ้นทันที ดังนั้นการตรวจสอบ และปรับแรงดันลมยางให้สอดคล้องกับค่าที่ผู้ผลิตกำหนดจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ยางทำงานในสภาวะที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งในด้านความปลอดภัย การประหยัดน้ำมัน และอายุการใช้งานของยาง

เลือกยางอย่างไรให้เหมาะสำหรับการเดินทางไกล

เลือกยางอย่างไรให้เหมาะสำหรับการเดินทางไกล

สำหรับผู้ขับขี่ที่มีความจำเป็นต้องใช้รถยนต์เพื่อเดินทางไกลอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเพื่อการท่องเที่ยว การทำงาน หรือการขนส่งระหว่างจังหวัด การเลือกยางที่เหมาะสมถือเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะส่งผลต่อความปลอดภัยแล้ว ยังมีผลโดยตรงต่อสมรรถนะของรถ ความสะดวกสบายในการขับขี่ และประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง

เลือกยางให้เหมาะกับประเภทและขนาดของรถยนต์

การเลือกขนาด และประเภทของยางให้ตรงกับชนิดของรถเป็นพื้นฐานสำคัญ เพื่อให้แน่ใจว่ายางสามารถรองรับน้ำหนักของรถ และให้สมรรถนะที่เหมาะสมสำหรับการใช้งานในระยะทางไกล

รถยนต์นั่งขนาดเล็ก-กลาง (Sedan หรือ Compact Car)

ตัวอย่างเช่น Toyota Vios, Honda City, Mazda 2

  • ควรเลือกยางที่มีหน้ากว้าง และอัตราส่วนแก้มยางที่สมดุล เช่น 185/60R15, 195/65R15
  • ยางขนาดนี้ให้ความสมดุลระหว่าง การประหยัดน้ำมัน ความนุ่มนวล และความมั่นคงขณะขับขี่
  • ควรมองหายางที่มีค่า Rolling Resistance ต่ำ และโครงสร้างที่เน้นความนุ่มเงียบเพื่อลดความเมื่อยล้าขณะขับขี่ทางไกล

รถ SUV หรือ PPV (Sport Utility Vehicle / Pickup Passenger Vehicle)

ตัวอย่างเช่น Toyota Fortuner, Honda CR-V, Isuzu MU-X

  • ควรเลือกยางขนาดใหญ่ขึ้น เช่น 265/65R17, 265/60R18 ซึ่งออกแบบมาสำหรับรองรับน้ำหนักมากขึ้น
  • ควรเลือกยางที่มี โครงสร้างแข็งแรง (reinforced structure) รองรับการบรรทุก ทั้งยังทนต่อความร้อนในขณะขับขี่ต่อเนื่อง
  • มองหายางที่มีเทคโนโลยี ควบคุมการกระจายแรงกดบนหน้ายาง (Even Pressure Distribution) ซึ่งช่วยเพิ่มความมั่นคง ยืดอายุการใช้งาน

รถกระบะเครื่องยนต์ขนาดเล็กถึงกลาง (Pickup Truck)

ตัวอย่างเช่น Isuzu D-Max 1.9, Ford Ranger 1.9

  • แนะนำให้ใช้ยางประเภท Light Truck (LT) หรือยางที่มีดัชนีบรรทุก (Load Index) สูง เช่น 215/70R15C, 215/70R16C
  • ต้องเลือกยางที่มีความทนทานต่อแรงกดสูง และเหมาะสำหรับการบรรทุกหรือใช้งานต่อเนื่องระยะไกลโดยไม่เกิดการยุบตัวเกินกำหนด
  • ควรเลือกยางที่มีค่าความต้านทานการหมุนต่ำร่วมด้วย เพื่อลดภาระของเครื่องยนต์ และประหยัดน้ำมัน

มองหายางที่มีฉลากประหยัดพลังงาน (Eco Label)

การเลือกยางที่มีฉลากประหยัดพลังงาน หรือ Eco Label เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถประเมินประสิทธิภาพด้านพลังงานของยางได้อย่างชัดเจน ยางที่ผ่านการรับรองฉลากประเภทนี้มักได้รับการทดสอบด้านแรงต้านการหมุนต่ำ ประสิทธิภาพการยึดเกาะบนถนนเปียก และระดับเสียงขณะวิ่ง ตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด โดยยิ่งค่าระดับการประหยัดพลังงานอยู่ในเกรดที่สูง (เช่น A หรือ B) ก็ยิ่งหมายถึงว่ายางนั้นช่วยลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้มากขึ้น ฉลาก Eco Label ถือเป็นข้อมูลที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบยางแต่ละรุ่น และตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในการเลือกยางที่ประหยัดน้ำมัน และปลอดภัยสำหรับการใช้งานทางไกล ยางกลุ่มนี้จะได้รับการรับรองว่าให้ Rolling Resistance ต่ำ และเหมาะกับการประหยัดเชื้อเพลิง

ตรวจสอบค่า UTQG

UTQG (Uniform Tire Quality Grading) คือมาตรฐานการจัดระดับคุณภาพของยางที่ใช้กันในสหรัฐอเมริกา โดยกรมการขนส่งของสหรัฐฯ (U.S. Department of Transportation) ได้กำหนดให้ผู้ผลิตยางต้องแสดงข้อมูล UTQG บนแก้มยางเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบคุณสมบัติของยางใน 3 ด้านหลักได้อย่างชัดเจน 

Treadwear (อัตราการสึกหรอ) : แสดงเป็นตัวเลข เช่น 300, 400, 600 เป็นต้น ยิ่งตัวเลขสูง แสดงว่ายางสามารถใช้งานได้นานขึ้นก่อนที่จะสึกหมด อายุการใช้งานยาวนานจึงเหมาะสำหรับผู้ที่ขับรถทางไกลหรือใช้งานหนักเป็นประจำ

Traction (การยึดเกาะบนพื้นเปียก) : ใช้อักษร AA, A, B หรือ C โดย AA เป็นระดับที่สูงที่สุด หมายถึงยางมีประสิทธิภาพในการยึดเกาะบนถนนเปียกได้ดี ลดโอกาสลื่นไถลในสภาพฝนตกหรือถนนเปียก

Temperature (ความทนต่อความร้อน) : ระบุเป็น A, B หรือ C โดย ระดับ A แสดงว่ายางสามารถทนต่อความร้อนได้ดีแม้ในขณะวิ่งต่อเนื่องที่ความเร็วสูง ลดความเสี่ยงของยางระเบิดหรือเสียรูปจากความร้อนสะสม
ยางที่มีค่า Treadwear สูง + Traction/Temperature อยู่ในระดับ A หรือ AA/A จะเหมาะกับการเดินทางไกลที่ต้องการความทนทาน ประหยัดน้ำมัน

พิจารณาความเงียบและความนุ่ม

การขับรถในระยะทางไกลไม่เพียงแต่ต้องการความทนทานของยาง แต่ยังต้องคำนึงถึงความสบาย ความเงียบภายในห้องโดยสาร เพื่อช่วยลดความเครียด ความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ และผู้โดยสาร
ยางที่มีคุณสมบัติดีในด้านนี้มักจะ

  • มีโครงสร้างที่ช่วยดูดซับแรงสั่นสะเทือน ลดการกระแทกจากพื้นถนน ทำให้รู้สึกนุ่มนวลขณะขับ
  • ใช้ลวดลายดอกยางแบบเงียบ (Silent Pattern) ซึ่งออกแบบมาเพื่อลดเสียงจากการเสียดสีกับพื้นถนน
  • มีการใช้ โฟมกันเสียง (Noise-reducing foam) หรือวัสดุซับเสียงภายในโครงสร้างยางในบางรุ่นระดับพรีเมียม

เคล็ดลับเสริม ใช้ยางอย่างไรให้ประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น

แม้ว่ายางจะได้รับการออกแบบมาเพื่อประหยัดพลังงาน แต่การใช้งาน และการดูแลรักษาอย่างถูกวิธีก็มีผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมัน

  1. ตรวจสอบแรงดันลมยางเป็นประจำ : ควรตรวจอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง และก่อนการเดินทางไกลทุกครั้ง เพราะแรงดันลมต่ำเกินไปจะเพิ่มแรงต้านการหมุน ทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น และสิ้นเปลืองน้ำมัน
  2. ลดน้ำหนักบรรทุกที่ไม่จำเป็น : การบรรทุกสัมภาระเกินความจำเป็น โดยเฉพาะที่ท้ายรถ จะเพิ่มแรงต้าน และภาระของระบบช่วงล่างกับเครื่องยนต์ ส่งผลให้การสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็น
  3. ขับขี่อย่างนุ่มนวล ไม่กระชาก : หลีกเลี่ยงการเหยียบคันเร่งหรือเบรกอย่างรุนแรง เพราะพฤติกรรมดังกล่าวไม่เพียงเพิ่มการสิ้นเปลืองน้ำมัน แต่ยังทำให้ยางสึกเร็ว และอาจเสียสมดุลการทรงตัวของรถ
  4. ตั้งศูนย์ล้อและถ่วงล้อสม่ำเสมอ : ศูนย์ล้อที่คลาดเคลื่อนจะทำให้ยางสึกไม่เท่ากัน เพิ่มแรงต้านการหมุน และทำให้รถกินน้ำมันมากขึ้น การถ่วงล้อจะช่วยลดแรงสั่นสะเทือน และเพิ่มความมั่นคงในการขับขี่

แนะนำยางประหยัดน้ำมันจาก SaveTyre พร้อมโปรโมชันพิเศษ

หากกำลังมองหายางที่เหมาะสำหรับการเดินทางไกล พร้อมประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมัน SaveTyre มีรุ่นยางแนะนำที่ผ่านการคัดเลือกมาแล้ว เช่น

Kumho 

  • รุ่น ES31 ยางสำหรับเก๋งนุ่มเงียบ ที่สุดของความเงียบ และนุ่มนวล ออกแบบมาเพื่อเน้นการประหยัดน้ำมัน มีคะแนนด้านการประหยัดน้ำมัน (fuel economy) ค่อนข้างดี สอดคล้องกับ Low Rolling Resistance 
  • สำหรับรถ EV และรถสปอร์ต Kumho ยังมีรุ่นเช่น PS71EV, HS63EV ที่ผสานเทคโนโลยีลดแรงต้านการหมุน (MicroSilica, โครงสร้างเสริม Aramid, โฟมลดเสียง K‑Silent) เพิ่มความประหยัด และให้ความเงียบขณะขับขี่ 
  • Kumho ยังให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (“Low‑Wear, Low‑Carbon”) อีกด้วย

Goodride

  • Goodride ใช้ยางพาราไทยคุณภาพสูงมาผลิตจนออกมาเป็นยางรถยนต์มาตรฐานระดับโลก มีทั้งมาตรฐาน DOT (สหรัฐฯ) E‑Mark (ยุโรป) และ ISO 9001, ISO 16949 
  • G127 ยางสายพรีเมียม วิ่งนุ่มเงียบ และสมรรถนะในการควบคุมดีเยี่ยม 

Nazz

  • Nazz แบรนด์ยางที่ได้มาตรฐานสากล เน้นความคุ้มค่า และปลอดภัยในการใช้งาน
  • ผ่านกระบวนการผลิตที่ควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด และระบบทดสอบที่เชื่อถือได้
  • รุ่น Ultimate1EV ยางที่ออกแบบสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และรถเครื่องยนต์ทั่วไป มาพร้อมโฟมซับเสียงในตัว เกาะถนนมั่นใจ และช่วยลดแรงต้านการหมุนเพื่อความประหยัดพลังงาน

หากกำลังมองหายางใหม่ที่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป ทั้งในเมือง และเดินทางไกล SaveTyre มีจำหน่ายยางจากหลากหลายแบรนด์ที่เชื่อถือได้ เช่น Blackhawk, Goodride, Kumho, Nazz และ Triangle ซึ่งได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ใช้รถที่ต้องการความทนทาน ควบคุมดี และมีราคาที่เข้าถึงได้ ยางที่คัดสรรมานั้นมีให้เลือกหลากหลายขนาด รองรับทั้งรถยนต์นั่งขนาดเล็กถึงกลาง รวมถึงรถกระบะ โดยเน้นคุณสมบัติเรื่องการยึดเกาะที่ดีในทุกสภาพถนน อายุการใช้งานยาวนาน และเหมาะกับการใช้งานในสภาพอากาศเมืองไทย

สามารถสอบถามรุ่นที่เหมาะสมกับรถ หรือดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โปรโมชัน 4,990 จาก SaveTyre หรือติดต่อสอบถามได้ที่สาขาใกล้บ้านทั่วประเทศ

การขับรถเที่ยวต่างจังหวัดให้ ประหยัดน้ำมัน ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว แต่ยางรถยนต์ก็เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การเลือกใช้ ยางประหยัดน้ำมันที่มี Rolling Resistance ต่ำมีโครงสร้างเหมาะสมกับประเภทรถ และดูแลรักษาอย่างถูกต้อง จะช่วยให้การเดินทางทุกครั้งทั้งปลอดภัย ประหยัด และสบายใจมากยิ่งขึ้น